ประเภทของสิวที่มีโอกาสทำให้เกิดหลุมสิวได้มากที่สุด คือ “สิวอักเสบรุนแรง” หรือ “สิวหัวช้าง” เม็ดโตๆ นั่นแหละค่ะ สิวชนิดนี้เมื่อเกิดไปนานๆ และขาดการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้ใต้ชั้นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นหนอง ซึ่งจะไปกัดเซาะผิวหนังบริเวณนั้นให้เกิดเป็น “โพรงหนอง” เมื่อรักษาผิดวิธีด้วยการบีบ แคะ แกะ เกา หรือฉีดมากเกินขนาด (แม้กระทั่งปล่อยให้หายเอง) ผลสุดท้าย คือเกิดการยุบตัวของผิว ทำให้คอลลาเจนภายในผิวลดลง จนกลายเป็นพังผืดขึ้นมาใต้รอยแผลเป็นนั้นๆ และกลายเป็นหลุมสิวในที่สุด
แม้ว่าจะยังไม่มี “ครีม” หรือ “เซรั่ม” หรือสิ่งๆใดๆ ที่ทาบนผิวหน้าแล้วสามารถ “รักษาหลุมสิว” หรือทำให้ผิวที่เป็นหลุมกลับมาฟูเท่ากับผิวโดยรอบได้ แต่ในปัจจุบันก็มีวิธีการรักษา และวิทยาการเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยทำให้แผลหลุมสิวตื้นขึ้นได้ โดยไม่ทำร้ายผิวหรือเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
เป็นการแต้มกรดที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อเร่งผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวเร็วขึ้น ช่วยทำให้รอยหลุมค่อยๆ ตื้นขึ้นได้ วิธีการนี้ หากทำอาทิตย์ละครั้งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผล ซึ่งต้องแต้มเฉพาะรอยหลุมที่เป็นเท่านั้น เพราะกรด TCA จะทำให้ผิวเป็นรอยสะเก็ดดำๆ ถ้าใจไม่แข็งจริง คุณอาจถอดใจได้ง่ายๆ เลยค่ะ
คือการใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นลูกกลิ้งติดเข็มเล็กๆ กลิ้งบนใบหน้าลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดการอักเสบของชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวใหม่ และฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ แต่วิธีการนี้ อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดของอุปกรณ์ และรักษาโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ
คือการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง โดยแพทย์จะสอดเข็มลงไปใต้ผิวหนัง เพื่อเลาะตัดพังผืดทีละหลุมจนทั่วใบหน้า วิธีนี้ หลังจากการรักษาจะมีเลือดออกบริเวณผิวหนังที่ทำ และอาจจะม่วงช้ำอยู่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก แต่ Subcision จะไม่มีผลในการกระตุ้นการสร้างผิว จึงควรทำร่วมกับเลเซอร์ เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีการนี้ เหมาะกับการรักษาหลุมสิวระดับทั่วไป และระดับตื้นถึงลึกปานกลาง โดยใช้สารเติมเต็มอย่างเช่น “ไฮยาลูรอกนิก แอซิด” ฉีดเติมเต็มที่รอยหลุมให้ตื้นขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่าคอลลาเจน และได้ผลลัพธ์ประมาณ 30 – 70% แต่การฉีด 1 ครั้งจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่สามารถเสื่อมสลายไปได้เอง
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเลเซอร์สามารถส่งพลังงานความร้อนที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากลงไปยังชั้นใต้ผิวหนังที่ลึกที่สุด กระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอิลาสติน จึงเป็นการรักษาทุกปัญหาผิว หลุมสิวและรอยแผลเป็นต่างๆ ช่วยให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น พร้อมปรับผิวชั้นบนให้ดูกระจ่างใส และละเอียดเรียบเนียนขึ้นประมาณ 80-90 %
อ่านดูแล้วเหมือนจะง่ายนิดเดียว แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ สำหรับการรักษาหลุมสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า “ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสภาพผิว” หลังทำทันทีหรือ 1 อาทิตย์ต่อจากนั้น ผลอาจจะยังไม่ชัดเจน ต้องให้ร่างกายได้สร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวตามธรรมชาติก่อน สิ่งที่สำคัญ คือต้องใจเย็นๆ เพราะบางเคสอาจต้องทำการรักษาซ้ำหลายครั้ง และต้องได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของ “แผลเป็นหลุมสิว” ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปค่ะ
© Copyright 2017 Honest Clinic